ฟังเพลงขณะออกกำลังกายได้อย่างปลอดภัย
ในปัจจุบันเรียกได้ว่าเทรนด์การรักสุขภาพนั้นก็ไม่มีแผ่วลงเลย ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์เพื่อสุขภาพ ออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ ฯลฯ แต่ถึงกระนั้นทุกๆกิจกรรมที่ทำต่างก็ต้องมีความสุขในขณะทำด้วยเช่นกัน การรับประทานอาหารก็ต้องศึกษาว่าทำอย่างไรให้ปลอดภัยและได้ประโยชน์สูงสุด รวมไปถึงการออกกำลังกาย ต่างก็ต้องผ่านการศึกษาทั้งนั้นซึ่งก็หมายถึงการฟังเพลงในขณะที่ออกกำลังกายก็เป็นส่วนประกอบหนึ่งที่ใครหลายๆคนต่างใช่วิธีนี้เพื่อเป็นทั้งสิ่งเร้าและผ่อนคลายในขณะออกกำลังกาย เราจะมาบอกกันครับว่าการฟังเพลงขณะออกกำลังกายได้อย่างปลอดภัยนั้นมีวิธีไหนบ้าง ไปดูกันเลยครับ
1.ฟังเพลงขณะออกกำลังกายมีประโยชน์อย่างไร
การฟังเพลงนั้นเป็นสิ่งที่ช่วยลดความเบื่อหน่ายและยังช่วยพัฒนาคุณภาพในการออกกำลังกาย โดยการเพิ่มความทนทานในการออกกำลังกายให้ยาวนานมากขึ้นไปอีกด้วย ซึ่งมีงานวิจัยเผยถึงการวัดคลื่นสมองด้วยเครื่อง Electroencephalogram (EEG) ในขณะฟังเพลงแล้วออกกำลังกายไปด้วยนั้นช่วยลดคลื่นธีต้า (Theta waves) ชนิดความถี่ 4-7 เฮิร์ต (Hz) ได้ ซึ่งกระบวนการนี้เป็นการระงับอาการเมื่อยล้าต่างๆจึงทำให้การออกกำลังกายและฟังเพลงไปด้วยนั้นยาวนานขึ้น อีกทั้งระบบการทำงานของร่างกายในขณะฟังเพลงนั้นพบว่าการฟังเพลงที่ทำให้สนุกสนานนั้นทำให้เพิ่มการไหลเวียนของโลหิต 26% ในทางตรงข้ามถ้าหากฟังเพลงเศร้า หรือ หดหู่นั้นการไหลเวียนของโลหิตจะลดลงไปถึง 6% เลยทีเดียว ซึ่งถ้าระบบไหลเวียนโลหิตดีก็ช่วยให้ร่างกายนำออกซิเจนไปใช้งานได้มากขึ้น
2.เลือกเพลงฟังตอนออกกำลังกายอย่างไร
อีกหนึ่งประเด็นที่หลายๆคนอาจจะอยากรู้ก็คือจะเลือกเพลงฟังตอนออกกำลังกายอย่างไร ซึ่งการเลือกระดับความเร็วของเพลงในขณะออกกำลังกายนั้นมีผลที่จะทำให้การออกกำลังกายขอคุณมีประสิทธิภาพและคุณภาพที่ดีกว่า ซึ่งงานวิจัยพบว่าการฟังเพลงที่มีจังหวะเร็วนั้นส่งผลดีต่อสมรรถภาพทางร่างกายเมื่อออกกำลังกายที่ระดับความหนักเบาถึงปานกลาง โดยการออกกำลังกายแต่ละชนิดก็จะทำให้มีระดับความเร็วของจังหวะเพลงที่เหมาะสมแตกต่างกันออกไป เช่น การปั่นจักรยานให้มีสมรรถภาพทางกายสูงสุดควรเลือกเพลงความเร็วที่จังหวะความเร็ว 125 – 140 BPM6 หรือ การออกกำลังกายโดยวิ่งบนลู่วิ่งสายพานให้มีสมรรถภาพทางกายสูงสุดก็ควรเลือกฟังเพลงที่จังหวะความเร็ว 123-131 BPM7 แต่ทั้งนี้ก็อยู่ที่ร่างกายแต่ละบุคคลว่าตอบสนองด้วยอัตราความเร็วของจังหวะเพลงที่เท่าไหร่ด้วยเพราะแต่ละคนก็จะแตกต่างกัน คุณลองเลือกเพลงที่คุณชอบมาจัดเพลย์ลิสต์ให้การออกกำลังกายของคุณสนุกสนานและควบคู่กับความสม่ำเสมอ แค่นี้ก็จะได้ร่างกายที่แข็งแรงและมีความสุขควบคู่ไปด้วยครับ
3.ระบบ Noise Cancellation ที่ช่วยให้การฟังเพลงของคุณไม่มีสะดุด
ระบบ Noise Cancellation ที่ตัดเสียงต่ำได้ดีกว่า ในส่วนของเสียงปลายแหลมก็ตัดได้เงียบสนิทกว่า ชัดเจน อีกทั้งยังมีไมค์แบบ Hybrid 2 ตัวเพื่อช่วยในการตัดเสียงรบกวนในระบบ Noise Cancellation อีกด้วย ซึ่งการควบคุมนั้นไม่ยากเพียงแค่ปรับเปลี่ยนตามความต้องการในแอพ Klipsch Connect ได้เลยแต่จะเหมาะกับการออกกำลังกายบนลู่วิ่ง หรือ ที่ๆปลอดภัยเท่านั้น ไม่เหมาะกับการเปิดโหมดนี้ในขณะออกกำลังกายนอกยิม
4.ระบบ Transparency Mode ที่ช่วยให้ฟังเพลงขณะออกกำลังกายได้อย่างปลอดภัย
Transparency Mode คือ โหมดที่ช่วยปรับรับเสียงจากภายนอกให้อัตโนมัติเมื่อมีเสียงรบกวนเพื่อป้องกันความปลอดภัยในขณะใช้งานทำให้คุณสามารถรับรู้สิ่งต่างๆที่เกิดภายนอกรอบตัวคุณได้ ซึ่งมีด้วยกันทั้งหมด 3 ระดับ คือ Low, Medium, High แต่คุณสามารถที่จะเลือกเปิด หรือ ปิดโหมดนี้ได้ตามความเหมาะสมในแอพ Klipsch Connect ได้เลย
เป็นอย่างไรบ้างครับกับการฟังเพลงขณะออกกำลังกายได้อย่างปลอดภัยซึ่งเราก็ได้ยกตัวอย่างทั้งลักษณะของเพลงที่ฟังและระบบในหูฟังที่ช่วยให้การออกกำลังกายของคุณนั้นราบรื่นมากขึ้น ซึ่งคุณสามารถปรับเปลี่ยนตามความต้องการของแต่ละคนได้เลยครับ
ใส่ความเห็น